วันพฤหัสบดีที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2556




....รู้ทันข่าว....  

.....IT..... 



อันตรายจากโซเชี่ยวเน็ตเวิร์คในปัจจุบัน


โลกปัจจุบันเป็นโลกของเทคโนโลยีที่มีความก้าวหน้าก้าวไกลไปเป็นจำนวนมาก ซึ่งโลกของ
เทคโนโลยีทุกวันนี้มีทั้งประโยชน์และโทษที่แตกต่างกันออกไป  ซึ่งจะว่าไปแล้วเทคโนโลยีถ้าเกิดนำไป
ใช้ให้ถูกต้องให้เกิดประโยชน์จะได้รับประโยชน์จากมันเป็นอย่างมาก แต่ถ้าหากมีการนำไปใช้ในทางที่
ผิดก็จะส่งให้โทษตามมาเช่นกัน  โลกของโซเชี่ยวในปัจจุบันก็ถือว่าเป็นโลกที่สำคัญเป็นอย่างมาก ทุก
วันนี้จะพบได้ว่ามีความสำคัญในชีวิตประจำวันเลยก็ว่าได้ เพราะว่าโซเชี่ยวเป็นการติดต่อสื่อสารกัน
อย่างง่ายดายมาก และมีความรวดเร็วเป็นอย่างมาก ดังนั้นโลกโซเชี่ยวมีทั้งโทษและประโยชน์ที่แตก
ต่างกัน  




              ซึ่งจะว่าไปแล้วอันตรายในโซเชี่ยวทุกวันนี้จะเห็นได้ว่ามีมากมาย ออกข่าวรายวันเลยก็ว่าได้ ยิ่ง
เป็นเด็กรุ่นใหม่ที่อยากรู้อยากลองกับสิ่งต่างๆ ที่ตนเองสนใจ ทำให้มีความหลงเชื่อในโลกโซเชี่ยวมาก
เกินไป ทำให้เกิดผลเสียกับตัวเอง เช่น เด็กถูกล่อลวงไปขายตัวเพื่อคิดว่าจะได้ไปทำงานที่สุจริตที่ได้เงิน
เป็นจำนวนมาก หรือถูกหลอกผ่านโลกโซเชี่ยวจากผู้ไม่หวังดี ที่ถูกขมขืนบ้าง ซึ่งมีการติดต่อกันผ่านโลก
โซเชี่ยวที่มีความเชื่อได้น้อยมาก ทำให้เกิดความเชื่อ และหลงกลในคำพูดผ่านโลกโซเชี่ยว หรืออาจะมี
การถูกหลอกให้ซื้อสินค้าผ่านเฟสบุ๊ค โดยมีการโอนเงินผ่านทางธนาคารแล้วเจ้าของเฟสบุ๊คก็หายไป
เมื่อได้รับเงินผ่านบัญชีธนาคาร  สิ่งเหล่านี้ถือว่าเป็นช่องทางของโจรที่ต้องการจะทำการหลอกลวงได้
อย่างง่าย ซึ่งในปัจจุบันพบบ่อย  เมื่อมีโทษ ประโยชน์ของโลกโซเชี่ยวเน็ตเวิรค์ก็มีเช่นกัน ทำให้คนที่
อยู่ห่างไกลกันนั้นได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น












cakey2.gif image by MMEEWWcakey2.gif image by MMEEWWcakey2.gif image by MMEEWWขอขอบคุณค่ะ cakey2.gif image by MMEEWWcakey2.gif image by MMEEWWcakey2.gif image by MMEEWW




                        MUSIC-MV


ยิ่งไม่รู้ยิ่งต้องทำ


      

สาเหตุ
                 ดิฉันเลือกเพลง " ยิ่งไม่รู้ยิ่งต้องทำ "    ก็คือว่ามีเนื้อเพลงที่ไพเราะ  เบาๆ  น่าฟัง   
 และมีความหมาย   เกี่ยวข้องกับปัจจุบันที่เรามีชีวิตอยู่  เราไม่รู้ว่าเราจะอยู่กับคนที่เรารักได้นานเท่าไหร่    อนาคตจะเป็นอย่างไร จะเกิดอะไรพรุ่งนี้ไม่รู้สักอย่าง..... แต่เราก็ขอทำให้ดีที่สุด  เมื่อเขายังอยู่กับเรา  จะต้องรักให้มากที่สุด  จะดูแลให้ดีที่สุด                                                                 
เหมือน ทุกวันเป็นวันสุดท้าย  แล้วเราก็จะมีความสุขตลอดเวลาที่อยู่กับเขา ....






8iu-1.gif image by MMEEWW8iu-1.gif image by MMEEWW.....ขอให้เทอมีความสุขเมื่ออยู่กับฉัน.....8iu-1.gif image by MMEEWW8iu-1.gif image by MMEEWW






อ้างอิง....http://www.youtube.com/watch?v=-QoyMpkWeHw




ขอขอบคุณค่ะ


วันพฤหัสบดีที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

Moore's law คืออะไร


Moore's law

          คือ กฎที่อธิบายแนวโน้มของการพัฒนาฮาร์ดแวร์ของคอมพิวเตอร์ในระยะยาว
โดยมีความว่าจำนวนทรานซิสเตอร์ที่สามารถบรรจุลงในชิพจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในทุกๆ
สองปี ซึ่งกฎนี้ได้ถูกตั้งชื่อตาม Gordon E. Moore ผู้ก่อตั้ง Intel ซึ่งเขาได้อธิบายแนวโน้มนี้ในรายงานของเขาในปี 1965 จึงพบว่ากฎนี้แม่นยำ อาจเกิดขึ้นเนื่องจาก อุตสาหกรรม Semiconductor ได้นำกฎนี้ไปเป็นเป้าหมายในการวางแผนพัฒนาอุตสาหกรรมได้
          สำหรับแนวโน้มในอนาคต Road map ของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์
ได้ทำนายไว้ว่า กฎของมัวร์นั้นจะยังเป็นจริงอยู่ในชิพอีกหลายๆรุ่น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการคำนวณเวลาที่เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า นั้นอาจหมายถึงว่า ในอนาคตจำนวนทรานซิสเตอร์บนชิพอาจเพิ่มขึ้น 100 เท่าในเวลา 10 ปีก็เป็นได้
          กอร์ดอน มัวร์ เป็นผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทอินเทล ได้ใช้หลักการสังเกตตั้งกฎของมัวร์ (Moore’s law) ขึ้น ซึ่งเขาบันทึกไว้ว่า ปริมาณของทรานซิสเตอร์บนวงจรรวม





กฎของมัวร์ (Moore's Law)

         ในปี พ.ศ.2490 วิลเลียมชอคเลย์และกลุ่มเพื่อนนักวิจัยที่สถาบัน เบลแล็ป ได้คิดค้นสิ่งที่สำคัญและเป็นประโยชน์ต่อชาวโลกมาก เป็นการเริ่มต้นก้าวเข้าสู่ยุคอิเล็กทรอนิคส์ที่เรียกว่า โซลิดสเตทเขาได้ตั้งชื่อสิ่งที ่ประดิษฐ์ขึ้นมาว่า "ทรานซิสเตอร์" แนวคิดในขณะนั้นต้องการควบคุมการไหลของกระแสไฟฟ้า ซึ่งสามารถทำได้ดีด้วยหลอดสูญญากาศแต่หลอดมี ขนาดใหญ่เทอะทะใช้กำลังงานไฟฟ้ามากทรานซิสเตอร์จึงเป็นอุปกรณ์ที่นำมาแทนหลอดสูญญากาศได้เป็นอย่างดีทำให้เกิดอุตสาหกรรมสาร กึ่งตัวนำตามมา และก้าวหน้าขึ้นเป็นลำดับ
         พ.ศ. 2508 อุตสาหกรรมผลิตอุปกรณ์สารกึ่งตัวได้แพร่หลาย มีบริษัทผู้ผลิตทรานซิสเตอร์จำนวนมากการประยุกต์ใช้งานวงจรอิเล็กทรอนิกส์  กว้างขวางขึ้น มีการนำมาใช้ในเครื่องจักร อุปกรณ์ต่าง ๆ ตั้งแต่ของใช้ในบ้าน จึงถึงในโรงงานอุตสาหกรรม 
         การสร้างทรานซิสเตอร์มีพัฒนาการมาอย่างต่อเนื่อง บริษัท แฟร์ซายด์ เซมิคอนดัคเตอร์ เป็นบริษัทแรกที่ใช้เทคโนโลยีการผลิตทรานซิสเตอร์แบบ planar หรือเจือสารเข้าทางแนวราบ เทคโนโลยีนี้เป็นต้นแบบของการสร้างไอซีในเวลาต่อมา จากหลักฐานที่กล่าวอ้างไว้พบว่า บริษัทแฟร์ซายด์ได้ผลิตพลาน่าทรานซิสเตอร์ตั้งแต่ประมาณปี
พ.ศ.2502 และบริษัทเท็กซัสอินสตรูเมนต์ได้ผลิไอซีได้ในเวลาต่อมา และกอร์ดอนมัวร์ก็ได้กล่าวไว้ว่า จุดเริ่มต้นของกฎมัวร์เริ่มต้นจากการเริ่มมีพลาน่าทรานซิสเตอร์
          คําว่า “กฎของมัวร์” นั้นถูกเรียกโดยศาสตราจารย์ Caltech นามว่า Carver Mead ซึ่งกล่าวว่าจำนวนทรานซิสเตอร์จะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในทุกๆสองปี ในช่วงปี 1965 นั้นก็เป็นจริงตามคำของมัวร์ แต่เชื่อว่าคงเป็นเช่นนี้ในระยะสั้นๆเท่านั้น ต่อมามัวร์จึงได้เปลี่ยนรูปกฎของเขามาเป็นเพิ่มขึ้นสองเท่าในทุกๆสองปี ในปี 1975
          แต่อย่างไรก็ตาม กฎของมัวร์นั้นยังมีข้อจำกัดอยู่เช่นกัน เช่นเรื่องของจำนวนทรานซิสเตอร์กับความสามารถในการประมวลผลการเพิ่มขึ้นของทรานซิสเตอร์ไม่ได้มีผลโดยตรงต่อความแรงของ CPU แต่นอกเหนือจากนั้นยังมีปัญหาเกี่ยวกับคอขวด ทำให้เกิดการพัฒนาวิธีการจัดการข้อมูลแบบ Parallelism  ซึ่งอาศัยกฎของมัวร์ในการช่วย
ออกแบบ

รหัสแทนข้อมูล

รหัสแทนข้อมูล   รหัส ASCII  และ รหัส UNICODE



     <<  รหัสแทนข้อมูล   รหัส ASCII  และ รหัส UNICODE   >>  
 รหัส ASCII  

แอสกี หรือ รหัสมาตรฐานของสหรัฐอเมริกาเพื่อการแลกเปลี่ยนสารสนเทศ  ชื่อเต็มคือ American Standard Code for Information Interchange ความสำคัญคือเป็นรหัสอักขระที่ประกอบด้วยอักษรละติน เลขอารบิก เครื่องหมายวรรคตอน และสัญลักษณ์ต่างๆ โดยแต่ละรหัสจะแทนด้วยตัวอักขระหนึ่งตัว เช่น
 รหัส 65 (เลขฐานสิบ) ใช้แทนอักษรเอ (A) พิมพ์ใหญ่

ASCII เป็นรูปแบบปกติของไฟล์ข้อความ (text file) ในคอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ในไฟล์ ASCII อักษรแต่ละตัว ตัวเลข หรืออักษรพิเศษ จะได้รับการแสดงด้วยตัวเลขฐานสอง ซึ่งสามารถใช้ระบุตัวอักษรได้ 128 ตัว

          ระบบ ปฏิบัติการ UNIX และ DOS (ยกเว้น Windows NT) ใช้ ASCII สำหรับไฟล์ข้อความ ระบบ Windows NT ใช้รหัสแบบใหม่ คือ Unicode ในระบบ IBM 390 ใช้รหัส 8 หลัก เรียกว่า extended binary-decimal interchange code โปรแกรมแปลงยินยอมให้ระบบปฏิบัติที่แตกต่างกันแปลงไฟล์จากรหัสหนึ่งเป็น อีกรหัสหนึ่ง


ตารางแทนรหัส ASCII

วิธีการอ่านค่าจากตารางแอสกี

1. ชี้ตรงตัวอักษรที่ต้องการแทนรหัส เช่น ก
2. อ่านค่ารหัสในตารางแนวตั้งตรงตำแหน่ง b7 b6 b5 และ b4 ค่าที่ได้ คือ 1010
3. อ่านค่ารหัสในตารางแนวนอนตรงตำแหน่ง b3 b2 b1 และ b0 ค่าที่ได้ คือ 0001
4. ดังนั้นรหัสแทนข้อมูลของตัวอักษร ก คือ 1010 0001



รหัส Unicode

     ยูนิโค๊ด คือ รหัสคอมพิวเตอร์ใช้แทนตัวอักขระ สามารถใช้แทน ตัวอักษร,ตัวเลข,สัญลักษณ์ต่างๆ ได้มากกว่ารหัสแบบเก่าอย่าง  ASCII ซึ่งเก็บตัวอักษรได้สูงสุดเพียง 256 ตัว(รูปแบบ) โดย Unicdoe รุ่นปัจจุบันสามารถเก็บตัวอักษรได้ถึง 34,168 ตัวจากภาษาทั้งหมดทั่วโลก 24 ภาษา โดยไม่สนใจว่าเป็นแพลตฟอร์มใด ไม่ขึ้นกับโปรแกรมใด หรือภาษาใด unicode ได้ถูกนำไปใช้โดยผู้นำในอุตสาหกรรม เช่น Apple, HP, IBM, Microsoft, Unix ฯลฯ และเป็นแนวทางอย่างเป็นทางการในการทำ ISO /IEC 10646 ดังนั้น Unicode จึงถือเป็นมาตรฐานในการกำหนดรหัส สำหรับทุกตัวอักษร ทุกอักขระ  unicode ทำให้ข้อมูลสามารถเคลื่อนย้ายไปมาในหลายๆ ระบบ ข้ามแพลตฟอร์มไปมา หรือข้ามโปรแกรมได้อย่างสะดวก โดยไร้ข้อจำกัด

Unicode ต่างจาก ASCII 
คือ ASCII เก็บ byte เดียว แต่ Unicode เก็บ 2 byte ซึ่งข้อมูล 2 byte เก็บข้อมูลได้มากมายมหาศาล สามารถเก็บข้อมูลได้มากมายหลายภาษาในโลก 
อย่างภาษาไทยก็อยู่ใน Unicode นี้ด้วยเหมือนกัน ดังนั้นรหัสภาษาไทยเอาไปเปิดในภาษาจีน ก็ยังเป็นภาษาไทยอยู่ ไม่ออกมาเป็นภาษาจีน เพราะว่ามี code ตายตัวอยู่ว่า code นี้จองไว้สำหรับภาษาไทย แล้ว code ตรงช่วงนั้นเป็นภาษาจีน ตรงโน่นเป็นภาษาญี่ปุ่น จะไม่ใช้ที่ซ้ำกัน เป็นต้น

ตัวอย่าง Unicode




ตัวอย่างการแทนรหัส ASCII

  SUPARAT  SAWASDEE

0101 0011   = S
0101 0101   = U
0101 0000   = P
0100 0001   = A
0101 0010   = R
0101 0011   = S
0101 0100   = T
0100 0000   = SPACE BAR
0101 0011   = S
0100 0001   = A
0101 0111   = W
0100 0001   = A
0101 0011   = S
0100 0100   = D
0100 0101   = E
0100 0101   = E

ใช้้พื้นที่จัดเก็บจำนวน  16  byte




แทนด้วยรหัส ASCIIดังนั้น   


01010011010101010101000001000001010100100101001101010100010000000101001101000001010101110100000101010011010001000100010101000101

ใช้พื้นที่จัดเก็บจำนวน  128 bit   16  byte















วันพฤหัสบดีที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

แบบทดสอบเรื่อง การทำงานภายในระบบคอมพิวเตอร์

แบบทดสอบเรื่อง การทำงานภายในระบบคอมพิวเตอร์
คลิกที่นี่

บิตตรวจสอบ ( Parity Bit )






บิตตรวจสอบ [[Parity Bit]]  

-   เลขฐานสองที่ใช้ในคอมพิวเตอร์มีอัตราความผิดพลาดต้ำ เพราะมีค่าความเป็นไปได้เพียง 0 หรือ 1  เท่านั้น

-   ดังนั้น บิตตรวจสอบ หรือพาริตี้บิต จึงเป็นบิตที่เพิ่มเติมเข้ามาต่ึอท้ายอีก1 บิต ซึ่งถือเป็นบิตพิเศษที่ใช้สำหรับตรวจสอบความแม่นยำและความถูกต้อง